หลังมีเอกสารปรากฏอยู่ในโลกโซเชียลคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และขอให้ตรวจสอบพฤติกรรม ของนายสุชาติ ตั้งแต่ก่อนเข้ามาดำรงตำแหน่ง และขณะดำรงตำแหน่ง กรรมการ ป.ป.ช. มีประวัติและพฤติกรรมที่เหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ โดยเอกสารดังกล่าว ระบุ เป็นของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และมีการอ้างชื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นพยาน ด้วยนั้น
ประเด็นนี้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังเดินทางไป ร้อง ป.ป.ช. วันที่ 22 เม.ย.2567 ให้ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีแต่งตั้ง ผบ.ตร. สั่งย้ายช่วยราชการ และส่งกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนถูกให้ออกราชการ ว่า “ขอไม่พูดในเรื่องนี้” ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนปล่อยเอกสารออกมา ที่มาวันนี้เพียงแค่มาหาความยุติธรรมเท่านั้น
ด้าน นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ระบุว่า เอกสารคัดค้านหนึ่งในคณะกรรมการ ป.ป.ช. ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้หลุดจาก ป.ป.ช. ถามกลับ เจ้าตัวปล่อยให้สื่อเองหรือไม่ ย้ำ ขอรอดูข้อเท็จจริงคำร้องก่อน พร้อมให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนจะเรียก “พล.อ.ประวิตร” หรือไม่ ต้องรอดูว่าเป็นพยานในเรื่องอะไร
สุชาติ ตระกูลเกษมสุข คือใคร
“สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็น “กรรมการ ป.ป.ช.” เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2563 โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 26 พ.ค.2563 ที่ลงคะแนนให้ความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ทำให้เป็นผู้ได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการ ป.ป.ช.
นายสุชาติ เคยดำรงตำแหน่ง “ผู้พิพากษา” มาก่อนที่จะมาทำหน้าที่กรรมการ ป.ป.ช. และยังเคยดำรงตำแหล่งที่สำคัญ ๆ ในอดีต ก่อนที่นายสุชาติ จะมาเป็นกรรมการ ป.ป.ช.นายสุชาติ ถูกตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มข้น มีการตั้งตั้งข้อสงสัยว่านายสุชาติ สามารถดำรงตำแหน่งได้หรือไม่ เพราะเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาก่อน (ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 11 (18) ห้าม สส. และ สว. ที่พ้นตำแหน่งไม่ถึง 10 ปี มาดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ) จนนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ต้องชะลอทูลเกล้าฯนายสุชาติเป็นกรรมการ ป.ป.ช. และเมื่อ วันที่ 9 มิ.ย.2563 นายนัฑ ผาสุข เลขาธิการวุฒิสภา ในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช.ยืนยันตามมติเดิม คือ กระบวนการสรรหานายสุชาติมีความถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่นายสุชาติดำรงตำแหน่งมาก่อนหน้านี้ไม่ถือเป็นตำแหน่ง ส.ส. หรือ ส.ว. ไม่มีการทบทวนหรือเปลี่ยนแปลงมติใด ๆ ทั้งสิ้น
เปิดหลักฐานการร้องเรียน ของ นายสุชาติ
หลายคนอาจจะโฟกัสที่ การแต่งตั้งถูกต้องหรือไม่ เพราะอิทธิพลของ “บิ๊กป้อม” เข้ามาแทรกแซง หรือไม่ แต่หลายสิ่งที่ไม่มีสงสัยเลยว่า นายสุชาติโดนร้องเรียน ตามที่ บิ๊กโจ๊ก ร้องหรือไม่ มาดูเรื่องร้องเรียนต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนายสุชาติ ว่ามีอะไรบ้าง
กรณีเรียกรับเงิน สามล้านบาท
จากที่มีการ ไต่สวน ร้อยตำรวจเอก บุญทบ ล้านทอง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง อัยการจังหวัด ประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต ผู้ถูกกล่าวหา ในข้อกล่าวหากรณ๊รับทรัพย์สินเป็นสิทธิ์การเป็นสมาชิกสนามกอล์ฟ ล็อคปาล์ม คอร์ส จังหวัดภูเก็ด มูลค่า 400,000 บาท และสิทธิการเป็นสมาชิกสนามกอล์ฟ บลูแคนยอน คันทรี่คลับ จังหวัดภูเก็ต มูลค่า 800,000 บาท เรื่องนี้ พนักงานไต่สวนมีความเห็นว่า การกระทำของ ร้อยตำรวจเอก บูญทบ ล้านทอง มีมูลความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลนอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย
เรื่องนี้มีนายสุชาติ เป็นกรรมการกำกับดูแล และได้รับความช่วยเหลือ จากนายสุชาติ ให้ผู้ถูกกล่าวหา พ้นผิด ในชั้นพิจารณาของกรรมการ ปปช
นายสุชาติ มีพฤติการณ์เรียกรับสินบน จำนวน สามล้านบาท ผ่านคนกลาง คือ นายยุทธพงษ์ อภิรัตนรังสี รองอธิบดีอัยการ กอ. ซึ่งมีความสนิทสนมกับนายสุชาติ มาก่อน ได้พา ร.ต.อ.บุญทบ มาพบ นายสุชาติ เพื่อให้ช่วยเหลือในเรื่องที่ถูกไต่ส่วนใน ปปช.
นายสุชาติได้เรียกร้องค่าตอบแทนจาก ร.ต.อ.บุญทบ เป็นจำนวนเงิน สามล้าน โดยพูดว่า เรื่องนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นเงิน “สามโล” ซึ่ง ร.ต.อ. บุญทบได้ตอบตกลง และเมื่อข้อกล่าวหาได้ตกไปในชั้นกรรมการ ปปช. ร.ต.อ.บุญทบ ได้ขอต่อรองเงินที่จะจ่ายให้นายสุชาติ เหลือ สองล้านบาทซึ่งนายสุชาติ จำต้องตอบตกลง โดยมอบเงินผ่าน อัยการยุทธพงษ์ และเมื่อ ร.ต.อ. บุญทบ ติดต่อที่จะมอบเงินผ่าน อัยการยุทธพงษ์ ปรากฎว่า อัยการยุทธพงษ์ ยืนยันต้องได้เงิน สามล้านบาท ร.ต.อ. บุญทบจึงได้ไปยืมเงินจากเพื่อนสนิท (ชื่อ นายทักษิณ ชื่นชม ซึ่งเป็นเศรษฐี ที่จังหวัดระนอง และเป็นผู้ที่ซื้อบัตรสมาชิกสนามกอล์ฟให้) เพื่อมามอบให้นายสุชาติ ผ่านอัยการยุทธพงษ์
เรื่องนี้ควรจบแค่นี้ เพราะรู้กันแค่ สามคน แต่หลังจากที่ ร.ต.อ.บุญทบจ่ายเงินให้ไปแล้ว นายสุชาติ แจ้งกลับไปที่ ร.ต.อ. บุญทบ ว่า เรื่องรับทรัพย์สินเกิน สามพันบาทจบจริง แต่ร.ต.อ.บุญทบ ยังมีข้อหาเรื่องร่ำรวยผิดปกติ ติดตัวอยู่ และนี่คงเป็นสาเหตุให้ ร.ต.อ.บุญทบ เกิดความไม่พอใจ และเปิดเผยเรื่องการเรียกรับสินบนของนายสุชาติ ให้ทราบโดยทั่วกัน ทั้งเพื่อนที่ให้ยืมเงิน เพื่อนที่เป็นตำรวจ อัยการ และผู้พิพากษา
ทุกคนทราบเรื่องนี้ แต่ กรรมการปปช ดันปิดไว้ อาจจะเพราะกลัวเสียชื่อจึงเฉยต่อเรื่องร้องเรียน และรอเวลาเพื่อให้เรื่องเงียบ
กรณี ซื้อรถให้สาวคนสนิท
มีเรื่องแจ้งมาจากสำนักงาน ปปง ให้ทราบว่า นายสุชาติ มีเมียน้อยคนนึง ชื่อ น.ส.อัณณ์ชญา สุติน ที่ทำเรื่องโอนมาประจำสำนักงานนายสุชาติ จนบัดนนี้ยังไม่เข้ามาทำงานที่ ปปชเลย ปัจจุบันเมียน้อยคนนี้ยังคงทำงานที่ ปปง และได้ออกรถ Honda accord hybrid โดยโอ้อวดให้เพื่อนใน ปปง ว่านายสุชาติ ซื้อใ้หเพื่อปลอบใจ ที่ไม่ได้ย้ายมา ปปช. และได้ตีทะเบียนให้ น.ส. อัณณ์ชญา เป็นเจ้าของเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2564 (คงไม่ยากสำหรับ ปปช. ที่จะตามหาหลักฐานว่า รถคันนี้ใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ซื้อมาในราคา 1,799,000 แน่นอน ว่าซื้อเป็นเงินสด) ซึ่งในฐานะของ น.ส.อัณณ์ชญา คงไม่มีความสามารถในการซื้อรถด้วยเงินสดอย่างแน่นอน และเลขทะเบียน 1 ขน 9989 ต้องมีเส้นสายถึงจะขอได้ ถ้าจะตรวจให้ละเอียดจะรู้ว่า ใครเป็นขอเลขทะเบียนนี้ แล้วแบบนี้ จะไม่เรียกทุจริตได้อย่างไร
กรณี กรรมการสีดำ กรรมการมาเฟีย
สืบเนื่องจากกรณีที่ให้คนขับรถของตัวเอง ขับสะกดรอยตาม นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กุล ผู้พิกากษาหัวหน้าคณะในศาล อุทธรณ์ และเป็นกรรมการตุลาการด้วย จนเป็นข่าวครึกโครมในสื่อต่างๆ กรณีนี้มีหนังสือร้องเรียนจากผู้พิกากษาสองท่านมาถึง กรรมการ ปปช. ว่าพฤติกรรมดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการข่มขู่ นายอนุรักษ์ ที่เปิดเผยข้อมูลและต้องการเอาผิดกับ นายสราวุธ เบญจกุล ซึ่งมีความสนิทสนมกับนายสุชาติเป็นอย่างมาก รายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับ กรณีที่นายสุชาติ ให้ความเช่วยเหลือ นายสราวุธ อย่างไร ขอให้สืบหาจากเจ้าหน้าที่ ปปช ที่ร่วมกันทำสำนวน ที่มีการส่งเรื่องร้องเรียน มายัง ปปช. โดยสำนักงาน สตง. และสำนักงาน ปปช. โดยนายสุชาติ มีมติให้สั่งใต่สวน บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการ อนุญาตให้ผู้รับเหมาเข้าทำการก่อสร้าง ศาลจังหวัดพระโชนง ก่อนมีการทำสัญญาจ้าง แต่ให้งดเว้นไม่สั่งไต่สวน นายสราวุธ โดยให้ข้อหาตกไป แต่เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา ก็รีบให้คนขับรถลาออก และสละสำนวนที่เป็นปัญหา โดยเกรงว่าจะมีการสืบสวนเรื่องราวและพัวพันมาถึงตัวเอง
แหล่งข่าวจากศาล แจ้งมาว่า สาเหตุที่นายสุชาติ ให้คนรถสะกดรอยตาม นายอนุรักษ์ ก็เนื่องมาจากต้องการทราบว่า นายอนุรักษ์ ได้ติดต่อประสานงานข้อมูลกับใคร ใน ปปช. ซึ่งนายสุชาติ เชื่อว่า นายอนุรักษ์ ต้องร่วมมือกับคนใน ปปช แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อร้องเรียนนายสุชาติ โดยที่ตัวเองไม่เคยคิดว่า ตัวเองทุจริตทำอะไรลงไปบ้าง และทางศาลแจ้งมาอีกว่า เมื่อเกิดคดีแล้วมีคำสั่งจาก อดีต ผบ.ตร. ท่านหนึ่งติดต่อไปที่ท้องที่เกิดเหตุ ให้ยุติคดีนี้เสีย โดยให้ตำรวจใหญ๋ท่านหนึ่งสั่งตรงไปที่ผู้กำกับการ ท้องที่เกิดเหตุ ซึ่งทางศาลทราบหมด และจะติดตามไม่ปล่อยให้มีการล้มคดีอย่างแน่นอน
สำหรับคนรถของนายสุชาติ คนนี้ อดีตเคยเป็นลูกจ้างอยู่กระทรวงกลาโหม มาขับรถให้ตั้งแต่ยังผู้พิพากษา และเป็น ส.น.ช. ด้วย อยู่ด้วยกันมานาน จนรู้ใจ และวางใจกัน น่าจะเป็นทั้งคนขับรถ และการ์ดไปด้วยกัน พฤติกรรมของนายสุชาติ ที่ส่งคนรถไปข่มขู่ ผู้พิพากษา จึงได้ฉายาเพิ่ม จาก กรรมการสีดำ เพิ่มอีกเป็น กรรมการ มาเฟีย ตั้งแต่ ก่อตั้ง ปปช มา ไม่เคยมี กรรมการท่านใดมีความประพฤติ ฉาวโฉ่ ทุจริต อย่างนายสุชาติมาก่อน
เรื่องทั้งหมดมีเสียงเรียกร้องให้ตรวจสอบเอาผิดกับ นายสุชาติ แต่กรรมการ ปปช ก็ยังเพิกเฉยด้วยกลัวเสียชื่อ
ประวัติ สีเทา – ดำ ของนายสุชาติ
นายสุชาติ เคยเป็น กรรมการบริษัท TOT มีเรื่องมัวหมองเกี่ยวกับ สัญญาจ้างที่ปรึกษากฎหมายเป้นเจ้าของบริษัท ธนา แอนด์ พาร์เนอร์ จำกัด เข้าไปพัวพันมีผลประโยชน์ทับซ้อน กับ บริษัทที่ปรึกษากฎหมายของบริษัท TOT (ข้อมูลเมื่อวันที่ 24 พ.ย.2555 จาก Breaking news) เข้าใจว่ามีเรื่องอยู่ในระหว่างไต่สวน ปปช ด้วย
เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำประธานกรรมการเลือกตั้ง (นายศุภชัย สมเจริญ) สามารถสอบถามความประพฤติถ่อยๆ ที่ใช้วาจาดูถูก ด่าว่า เจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งว่ามีข้อมูลเหมือนกันที่ใช้กับ พนักงานเจ้าหน้าที่ ปปช ตรงกัน
ก่อนมาเป็ฯที่ปรึกษา เป็นทนายความของรัฐมนตรีค้าแป้ง และได้รับการเสนอชื่อจากรัฐมนตรีค้าแป้ง ให้เป็นกรรมการในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อการเกษตร ขณะนี้ได้ขอความร่วมมือจาก พนักงานเจ้าหน้าที่ ปปช. ผู้รักองค์กรทุกคนและอดีตพนักงานเจ้าหน้าที่ ปปช ที่ไปดำรงตำแนห่ง สำคัญในองค์กรต่างๆ ช่วยกันสืบค้นประวัติสีเทาของนายธนา เพื่อรวบรวมข้อมูล เสนอกับผู้มีอำนาจ พิจารณา อาทิเช่น นายธนา เคยเป็นทนายความในคดีที่นายสุชาติ เป็นผู้พิพากษาพิจารณา มีกี่คดีและมีคดีใดที่เป็นข้อพิจารณาและสืบความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสองอย่างแนบแน่น อย่างลึกซึ่ง
เมื่อนายสุชาติ เข้ามารับตำแหน่งที่ปรึกษา
เข้ามาสั่งการก้าวก่าย ทั้งชี้นำ การทำสำนวนของพนักงานไต่สวน ใช้วาจาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ข่มขู่ ดูถุกซึ่งมีที่มาจาก พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ในการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
มีเหตุการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นในงานเลี้ยง พนักงานเจ้าหนา้ที่ในส่วนที่นายสุชาติ กำกับดูแลซึ่งจัดเลี้ยงที่ภัตตาคารหรู ใจกลางเมือง มีรองเลขาฯ ไปร่วมด้วยถึงสามท่าน และมี ผอ.สำนักไต่สวนทุจริตภาครัฐ พร้อมด้วยหัวหน้ากลุ่มไปร่วมด้วย และยังมีเจ้าหน้าที่อื่นๆ ไปร่วมอีกหลายคน ซึ่งปรากฎภาพงานเลี้ยง เผยแพร่ในไลน์กลุ่มชัดเจนว่า มีผู้ใดไปร่วมด้วย ในวันนั้น นายธนา ได้แสดงอำนาจ สั่งให้ ผอ.ภาครัฐ ส่งมอบเอกสารในสำนวนคดีที่กล่าวหา พล.ต.ต. วิวัฒน์ ชัยสังฆะ (เป็นบุคคลหนึ่งที่นายสุชาติ เสนอให้มาเป็นอนุกรรมการเรื่องกล่าวหาประจำสำนักไต่สวนภาครัฐ) ขณะดำรงตำแหน่ง พันตำรวจเอก ซึ่งอยู่ในชั้นสอบเบื้องต้นของสำนักรัฐ แต่ผอ. ภาครัฐได้ปฏิเสธเนื่องจากถือเป็นการผิดกฎหมายเป็นเหตุให้นาย ธนา โกรธเคือง ใช้วาจาไม่สุภาพ ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เช่น “กูไม่หน้ามึง กูกับสุชาติ ซี้กนขนาดใช้ผู้หญิงคนเดียวกัน สุชาติคือประธานคนต่อไป มึงไม่รู้หรอ กูจะเอามึงให้อยู่ไม่ได้ กูมีเงินเยอะ” การใช้วาจาข่มขู่ ไม่สุภาพ ไม่เคยมีมาในการทำงานร่วมกันระหว่างพนักงานเจ้าหน้าที่และที่ปรึกษากรรมการมาก่อนเลย นอกจากนี้ ที่สำนักงาน ปปช ภาค6 ก็มีการใช้วาจา กิริยา ไม่สุภาพ กับพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นกัน สำหรับรายละเอียด สามารถสอบถามได้กับคนมางานเลี้ยง
เรื่องราวของนายธนา กับนายสุชาติยังมีอีกมากมาย มีบัตรสนเท่ห์ส่งมากมาย เพียงแต่ส่งไปแล้วไม่มีการตรวจสอบ แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟัง
เมื่อ ปปช ถูกกล่าวหาสะเอง แต่ทำไมไม่มีกระบวนการ ตรวจสอบใดๆ เลย ถ้าหน่วยงาน ปปช. มีหน้าที่ตรวจสอบคนอื่น แต่ เมื่อทำผิดเองใครจะตรวจสอบ